เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อาหารของปากอาหารของร่างกายไง แต่ทำบุญกุศลอาหารของใจไง ดูเวลาครองเรือน เห็นไหม เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีครอบครัวเราต้องครองเรือน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า การครองเรือนคือต้องครองใจเราก่อน ใจของคน ครองหัวใจเพราะอะไร?
เพราะหัวใจมันเป็นต้นเรื่อง ในครอบครัวเรา ถ้าครอบครัวไหนมีความสุข เห็นไหม มีความสุขนะ ครอบครัวถ้าในครอบครัวมันทำบุญกุศล มันเป็นเรื่องที่เป็นบุญกุศล เพราะมันมีความร่มเย็น ดูในครอบครัวมีความขัดแย้งเพราะอะไร เพราะคนใกล้ชิด เราคนใกล้ชิดเราคนรักกันนะ ทำอะไรโดยที่ไม่ได้เกรงใจกัน มันกระเทือนหัวใจกัน
สิ่งที่กระเทือนหัวใจกันนะ คนอื่นเราจะเกรงใจเขา เราจะทำอะไรเราจะเกรงใจเขา เราจะกระเทือนใจเขา แต่ในครอบครัวของเรานี่เราลืมมันไป คนใกล้ชิดนี่เราลืมมองว่าคนใกล้ชิด คนไม่เป็นไร พอไม่เป็นไรนี่ เราก็ทำอะไรโดยที่ความสบายใจของเรา ทำที่สะดวกใจ แต่มันก็กระเทือนกัน
คนในครอบครัวนะมันจะมีปัญหา เพราะอะไร เพราะคนอยู่กันนมนาน ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกันโดยธรรมดา แล้วพอมีความออมชอมกัน มีความร่มเย็นเป็นสุข เวลาเราไปไหนไปด้วยทั้งครอบครัว ในครอบครัวถ้ามีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข อันนั้นคือบุญ แต่เราเข้าใจกันว่าบุญคือปัจจัยเครื่องอาศัยไง เครื่องอาศัยนี่มันอาศัยไปว่าเราอาศัยเพื่อดำรงชีวิตใช่ไหม? สิ่งที่อาศัยเราก็อาศัยของมัน เหมือนพาหนะนี่อาศัยมันเดินทางเท่านั้นเอง แต่คนขับรถหรือเราเจ้าของพาหนะนั้นมีความสำคัญมากกว่า
นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจมีความมากกว่า นี่คือการครองเรือน การครองเรือนของโลกเป็นส่วนหนึ่ง การถือพรหมจรรย์ เห็นไหม เราถือพรหมจรรย์แล้วออกมาอยู่คนเดียว ออกมาประพฤติปฏิบัติ ออกมาบวชเรา นี่จะเป็นการถือพรหมจรรย์ แล้วจะไปปกครองใครล่ะ สิ่งที่พรหมจรรย์ยิ่งปกครองยากใหญ่เลยเพราะอะไร เพราะการจะเอาชนะใจของตัว
เวลาในครอบครัวของเรามันจะเป็นเรื่องจากภายนอกนะ เรื่องความเกรงใจกันเรื่องอะไร เพราะมีความรักความผูกพันกัน ดูสิลูกเรา ลูกหลานเราเรารักไหม? เราทะนุถนอมไหม? ถ้าลูกหลานของเราประสบความสำเร็จเราจะมีความสุขมาก พ่อแม่นี่ขอให้ลูกมีความประสบความสำเร็จมีความสุขจริงๆ เลย นี่ต้องการเท่านั้นนะ ในครอบครัวทุกคนขอให้มีความสุข พ่อแม่จะมีความสบายใจ
แต่เวลาเราออกมาประพฤติปฏิบัตินะ ถือพรหมจรรย์นี่ หัวใจมีความร่มเย็นเป็นสุขไหม หัวใจถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม ดูสิดูไม้ดิบ ไม้ดิบมันจะจุดติดไฟไม่ได้ ต้องเป็นไม้แห้งใช่ไหม กว่าจะเป็นไม้ดิบ เราเป็นคนดิบๆ มาแล้วมาถือพรหมจรรย์ มันก็ถือด้วยความคฤหัสถ์ไง หัวใจมันเป็นโลก ถ้าหัวใจเป็นโลกมันก็คิดแต่เรื่องของโลกๆ
เวลาเราออกธุดงค์กรรมฐานกัน เห็นไหม มีศีล ศีลคือความปกติของใจ พยายามถือศีลกันเพื่อให้ไม้นี่มันแห้ง ไม้นี่ควรแก่การงาน มันจะเกิดตบะธรรมไง ถ้าเป็นไม้ดิบๆ เห็นไหม เป็นไม้ที่ว่าเป็นไม้ที่มันสดอยู่มันติดไฟไม่ได้ มันติดไฟมันติดได้ยากมาก ต้องใช้ไฟแรงมากมันถึงจะเผาไม้นั้นได้ มันจะติดเชื้อไฟบ้าง แล้วไม้จะมีไอน้ำของมันต่างๆ เพราะมันมีความสดของมัน
เราถือศีลกันก็เพื่อตรงนี้ไง เพื่อถือพรหมจรรย์ เห็นไหม เพื่ออะไร เพื่อจะเอาชนะตนเอง เพื่อเอาชนะหัวใจของตนเอง การถือพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ถ้ามันยังมีความดิ้นรนของมันอยู่ มันจะเป็นพรหมจรรย์ไหม? มันเป็นพรหมจรรย์แต่เปลือกไง ดูสิ ดูเวลาเราแต่งตัวออกจากบ้าน เราใส่ชุดอะไรออกไป เราก็เป็นอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน อาการของใจ เหมือนกับใจมันสวมอารมณ์อะไรไง อารมณ์นี่มันเสวยอารมณ์ไง จิตพลังงานอันนั้นมันเสวยอารมณ์ เสวยความรู้สึกอันนั้น มันยังไม่เป็นพรหมจรรย์หรอก ถ้ามันเป็นพรหมจรรย์ เห็นไหม มันถึงเป็นหนึ่ง เอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น พรหมจรรย์คือความที่มันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันจะไม่เสวยอารมณ์ของมัน
การเสวยอารมณ์ของเราก็เหมือนกับเราทั่วไปอยู่ในครอบครัวนะ ในการครองเรือนนะ เราต้องบริหารจัดการในบ้านของเรา เราต้องดูแลกิจการในบ้านของเรา เราต้องดูแลญาติพี่น้องของเรา เราต้องดูแลไปหมดเลย นี่เป็นการภาระ เป็นการหนักหน่วง เป็นการหนัก
แล้วมันยังมีอีกอันหนึ่งคือกรรมไง ถ้ากรรมดีมา มันจะมีความร่มเย็นเป็นสุข มันจะเชื่อฟังกัน มันจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่ถ้ามีกรรมนะ กรรมที่เป็นเคยสร้างสมมาเป็นอกุศลมานี่ มันจะระแวงต่อกัน มันจะน้อยเนื้อต่ำใจ มันจะมีอะไรหนักหัวใจ สิ่งนี้มันเรื่องของกรรม มันเรื่องของกรรมเพราะอะไร?
โลกนี้เป็นวัฏวน กามภพ รูปภพ อรูปภพ จิตนี่มันเกิดตายเกิดตายมาตลอด มันเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือต้องเกิดมาเจอกัน เห็นไหม การเกิดมาเจอกัน ถ้ามีกิเลสในหัวใจมันจะยึดของมัน มันจะโทษของมัน มันจะทำลายของมัน มันจะแบกรับภาระของมัน
แต่ถ้าเราประพฤติพรหมจรรย์ จนใจของเราเข้าถึงธรรม เห็นไหม เข้าถึงธรรมมันเข้าใจไง รู้แจ้งโลกนอกและโลกใน โลกในคือโลกในหัวใจของเรา โลกในที่ว่ามันเป็นพรหมจรรย์ไม่ได้ มันดิ้นรนเพราะอะไร มันมีอะไรเป็นเชื้อไข? มันทำอะไรให้เราเดือดร้อน? สิ่งนี้เป็นโลกภายใน
ถ้ารากำจัดโลกภายในได้ โลกภายนอกมันเป็นผลของวัฏฏะ เหมือนกับสวะที่ลอยน้ำมากระทบกันแล้วก็แยกออกจากกันเท่านั้นเอง ชีวิตมีเท่านี้จริงๆ นะ ชีวิตนี่เราเกิดมาพบกัน แล้วก็จะมาแยกจากกัน แต่เราไปยึดมัน เราไปแบกมัน เราไปทุกข์กับมัน เราไปจำเจกับมัน เราไปทุกข์ยากมากเลย เพราะอะไร เพราะเรามีกิเลสไง เรามีความต้องการ เรามีตัณหาความทะยานอยากไง เรามีตัณหาของเรา แล้วเราก็พยายามจะดึงโน้มน้าวให้เป็นแบบเราๆ
โน้มน้าวไม่ได้หรอก! โน้มน้าวขนาดไหนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ชี้นำ เห็นไหม เราเป็นคนชี้ทาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ชี้ทางแล้วให้เราประพฤติปฏิบัติ
นี้เราเกิดมา เห็นไหม บริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา อุบาสกอุบาสิกาเราก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติของเราอยู่ ประพฤติปฏิบัตินี้มันเป็นบุญอันมหาศาลนะ ทำบุญร้อยหนพันหนคือทำสละทานนี่ ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง เราถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหน เราก็ไม่เท่าเกิดด้วยภาวนามยปัญญาหนหนึ่ง เห็นไหม แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติกันเพื่อเอาบุญกุศลอันสุดยอด
นี่เราทำนะ เราทำบุญกุศลกันเพื่ออะไร เพื่อจะให้ครอบครัวมันร่มเย็นเป็นสุข เพื่อจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้คุ้มครอง คนดีผีคุ้มไง เทวดาชอบนะ เทวดาชอบคนดีเพราะจิตใจของคนดี ดูสิ เวลาเราสดชื่น เรามีความสุข หัวใจเราเบาสบายไหม? เวลาเราเครียด เราทุกข์ยาก หัวใจเราหนักหน่วงไหม? เทวดาเขาเห็นจิตตรงนี้ไง ถ้าเห็นจิตตรงนี้ปั๊บนี่ โอ้โฮ..คนนี้มีความสุข บ้านนี้มีความสุข เทวดาคุ้มครองๆ ตรงนี้ไง เข้าไปที่ไหนมันก็มีความสุขใช่ไหม?
อย่างเช่นเรานี่ เราตกไปในหลุมในมูตรในคูถ เราขึ้นมาจะมีกลิ่นเหม็นไหม? มีกลิ่นเหม็น แม้แต่เราเองเรายังเหม็นเลย เราต้องรีบไปล้าง ไปทำความสะอาด เวลาเราพอมีความคิด เรามีความโกรธนะ มันเหม็นอย่างนั้นนะ อาการของใจนะ เพราะใจมันเสวยแล้วมันก็มีความเหม็นอย่างนั้น แล้วเทวดาเขาได้กลิ่นไหม? เขาได้กลิ่นไง นี่คนดีผีคุ้ม แล้วคนชั่วผีไม่เข้าใกล้ มันเหม็นมาก
โดยธรรมชาตินะ ด้วยความศักดิ์ศรีของมนุษย์เรา มนุษย์นี่ กายของมนุษย์ กามราคะนี่ เรื่องกามราคะ เรื่องกามโอฆะ มันมีกลิ่นนะ กลิ่นกายกลิ่นของมนุษย์นี่สกปรกมาก เทวดาไม่อยากเข้าใกล้เลย ถ้าที่ไหนเจริญนะ เทวดาจะหนีเข้าป่าตลอดไป เพราะเทวดานะ เขาว่าเขาก็ถือตัวของเขาไง ว่าเขาเป็นทิพย์ เรามีร่างกายเป็นทิพย์ เขาก็ถือตัวของเขา เขาเองก็เสพกามเหมือนกันแต่กามที่เป็นทิพย์ เห็นไหม กระทั่งเทวดาเขาก็เสพกามของเขา เพราะเขาสร้างบุญกุศลมา เขาได้เกิดเป็นเทวดา
ก็เหมือนกับเรานี่ เกิดในสถานะครอบครัวที่มั่งมีศรีสุขมาก เทวดามีเท่านี้จริงๆ นะ ในภพของเทวดาก็เกิดในครอบครัวที่มีฐานะมาก เราก็มีสุขสบายหน่อย เราเกิดในครอบครัวที่ทุกข์ยากหน่อย เราเกิดในครอบครัวที่คนทุกข์เข็ญใจ เราก็ต้องปากกัดตีนถีบ นี่ก็เหมือนกัน เกิดเป็นมนุษย์มีปากมีท้องก็ต้องหาเลี้ยงชีพไป เกิดเป็นเทวดามันมีอาหารเป็นทิพย์มันก็เป็นเทวดา แต่ก็ชาติหนึ่งเหมือนกัน ต้องตายเหมือนกัน มีสถานะเหมือนกัน เห็นไหม
ทีนี้เขาถือตัวของเขาเพราะกิเลสของเขา เขาถือตัวของเขาว่าเขาเป็นเทวดา เขาก็ไม่อยากเข้าใกล้ เวลาเขาตายไปแล้วเขาเกิดในอเวจีก็ได้ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เพราะอะไร เพราะมันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ เห็นไหม ที่ว่าจิตนี้มันมากระทบกัน มันเกิดมาพบกันแล้วก็แยกจากกัน แต่เพราะความไม่เข้าใจของเรา แม้แต่เราเราก็ยึด
โลกนอก โลกใน โลกนอกคืออย่างนี้ โลกนอกคือโลกของหมู่สัตว์ โลกนอกคือความเป็นไปของสังคม เป็นไปของประเทศชาติ เห็นไหม ขีดเส้นกัน แบ่งเส้นกัน แล้วก็ถือว่าคนละชนชาติ แล้วก็เก็บภาษีกัน นี่มันเป็นการสมมุติมาทั้งหมดเลย แล้วเวลามันแตกเป็นประเทศใหม่ๆ มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น นี่โลกนอกนะ โลกนอกเราขีดเส้นกันเอง แล้วเราก็ว่ากันไปเองนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย มนุษย์นี่นึกว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์นึกว่าตัวเองแน่มาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก โง่กว่าสัตว์! สัตว์มันยังมีอิสรภาพเสรีกว่า ถ้าเป็นสัตว์ป่านะมันบินไปของมันเหมือนนก มันบินไปของมัน อยู่ในป่าก็อาศัยของมัน แต่มนุษย์นี่สร้างกติกาขึ้นมาแล้วก็ติดกติกาของตัวเอง เขียนกฎหมายขึ้นมาผูกคอตัวเองไว้ ไปไหนก็ติดกฎหมายๆๆ ไปหมดเลย
กฎหมายนี่เป็นข้อบังคับ เหมือนศีลไง ธรรมและวินัย เห็นไหม วินัยนี่บังคับไว้ให้พระอยู่ในร่องในรอยเหมือนกัน พระบวชมาแล้วศีล ๒๒๗ เหมือนกัน บวชออกมาจากโบสถ์แล้วมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ศีลเสมอกัน อาวุโส ภันเต เป็นการเคารพกันด้วยคุณธรรม ถ้ามีคุณธรรมนะ แม้แต่สามเณรเป็นพระอรหันต์นะ พระเรายังมีความเชิดชูเลย เพราะอะไร เพราะเขาแทงอริยสัจตลอดไง เขาแทงออกจากใจ โลกในของเขาเขาทำลายออกหมดแล้ว เขาปราบกิเลสในหัวใจของเขาโดยสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเคารพกันโดยคุณธรรม
แต่กฎหมายมันเป็นเรื่อง อาวุโส ภันเต พอเราบวชเข้ามาแล้ว เราก็ถือศักดิ์ศรีว่าฉันบวชก่อน ฉันจะนั่งหน้า ฉันจะรับก่อน เห็นไหม อันนี้มันเป็นกิเลสล้วนๆ เลย แต่ถ้ามีคุณธรรมนะ แม้แต่สามเณรน้อยพระก็ยังเคารพบูชาเลย สิ่งนี้มันเป็นคุณธรรม เราจะเคารพกันคุณธรรม
กฎหมายเป็นแค่กฎหมาย วินัยก็เป็นแค่วินัย เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาพระอรหันต์สิ้นจากกิเลสไปแล้วเขาว่าสติวินัยไง สติวินัยหมายถึงมีสติพร้อม ไม่มีการทำผิดโดยเจตนา เพราะไม่มีเจตนาแล้วถึงว่ากฎหมายไม่มีความหมายเลย ธรรมนี่เหนือรัฐธรรมนูญ ธรรมนี่เหนือกฎหมายทั้งหมด สติวินัยยกไว้สูงส่งเลย เพราะว่าสิ่งที่กระทำไปมันเป็นเรื่องของสภาวะกรรม
เรื่องของกรรม เห็นไหม กรรมนะ ดูสิ สัตว์มันมีกรรมกับเรา ถึงเวลาแล้วมันต้องชดใช้กรรม มันก็ต้องมาสถานะมันเป็นไป แต่ผู้ที่กระทำไม่มีเจตนา ไม่มีกรรมเลย เขาถึงเรียกสติวินัย สติวินัยถึงไม่มีความผิด ความผิดอันนั้นเป็นเรื่องของโลก กฎหมายเป็นเรื่องของโลกๆ แต่เรื่องของสัจจะความจริงภายในเป็นเรื่องสัจจะความจริงภายใน
โลกนอกโลกในอย่างนี้ การครองเรือนครองอย่างนี้ การถือพรหมจรรย์ต้องถือพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุด การถือพรหมจรรย์ เห็นไหม เริ่มตั้งแต่เราเกิดมาในโลกของสมมุติ เพราะเราเกิดเป็นพ่อเป็นแม่กันนี่เป็นเรื่องของสมมุตินะ แต่โลกเขายึดกันว่าเป็นความจริง เพราะมันจริงโดยสมมุติไง มันสมมุติสัจจะไง เกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน ถ้าเป็นของเราเราต้องสั่งเสียได้หมดเลย แต่ทำไมมันขืนล่ะ? ทำไมมันดื้อดึงล่ะ? ทำไมไม่เชื่อฟังเราล่ะ?
นี่เป็นความจริงโดยสมมุติ อันนี้เราก็ถือกันไป ความจริงโดยสมมุติ เราไม่ปฏิเสธสมมุติ เห็นไหม เราถึงว่าเวลาเราบวชแล้วก็เป็นสงฆ์โดยสมมุติ เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นบัญญัติ บัญญัติคืออะไร บัญญัติคือธรรมของอุปัชฌาย์ที่ให้มาไง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่บัญญัติธาตุที่ไม่รู้ ธาตุนี้ไม่รู้เรื่องหรอก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันไม่มีชีวิตหรอก มันไม่รู้เรื่องของมัน แต่ธาตุรู้นะ ธาตุรู้คือหัวใจ หัวใจมันรู้ ถ้าหัวใจมันรู้หัวใจก็ต้องใคร่ครวญ
นี่งานของพรหมจรรย์เป็นงานตรงนี้ไง งานในการนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ การเดินจงกรมอยู่ นี่งานของสงฆ์งานของพระ มันในงานของหัวใจ แต่เราไปแย่งงานของโลกมาทำกันไง แย่งงานของโลกนะ มีการก่อสร้าง มีการบริหารจัดการ เห็นไหม โลกบริหารจัดการ เราก็ต้องบริหารจัดการ บริหารจัดการ..
บริหารจัดการโดยกิเลส! กิเลสมันอยู่ใต้ความคิด มันบริหารจัดการโดยที่ว่าเรานี่เป็นสถานะ เห็นไหม ถึงว่าเทวดานี่มันถือตัวว่ามันสูงส่งกว่ามนุษย์ไง เราเป็นพระ เห็นไหม เราเป็นสงฆ์ เขาทำบุญแล้วจะได้บุญ บุญอะไร? ได้บุญอะไร? หัวใจเราควรแก่การงานหรือยัง? หัวใจเป็นเนื้อนาบุญหรือยัง? แล้วเราไปเรี่ยไรกับเขา เรี่ยไรมาเพื่ออะไร? ไปแย่งงานของเขามาทำโดยความคิดของกิเลส นี่พรหมจรรย์อันนี้เศร้าหมอง เศร้าหมองเพราะงานของสงฆ์ไม่ทำไปทำงานของคฤหัสถ์เขา
งานของการก่อสร้าง ดูสิ ดูเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางวิสาขาจะสร้างวัด เห็นไหม ให้พระโมคคัลลานะไปควบคุม เพราะอะไร พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม เพราะมันไม่มีการดีดดิ้นในหัวใจ ไม่มีการจะไปทำความเดือดร้อนให้กับโลกเขา เพราะอะไร?
เพราะเกิดมาโดยสมมุติไง เห็นไหม เราเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันโดยสมมุติ สงฆ์ก็สมมุติ ในเมื่อสมมุติแล้วก็ต้องมี.. นกมีรวงมีรังก็มีที่อาศัย คือทำความจำเป็นเท่านั้น! ที่ไหนมีความจำเป็นก็อาศัยกันไป! อาศัยกันไปเพื่อจะให้สมมุติเป็นบัญญัติ พอสมมุติบัญญัติแล้วก็เป็นวิมุตติ วิมุตติอยู่ที่ไหน วิมุตติที่ใจ ใจที่ทุกข์ๆ อยู่นี่ ในหัวใจมันทุกข์ๆ อยู่ เวลาไปเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ใครไปเป็น? ก็ใจนี่มันไปเป็น ถ้ามันสร้างบุญมันไปเป็น (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)